[บันทึก] เข้าร่วมคอร์สกายกรุณา 2019 : การสื่อสารอย่างสันติ

“เธอ …ทำไมเธอถึงตามงานพิเชษฐล่ะ ฉันอยากรู้?” พี่หญิงได้ถามผมในคอร์สกายกรุณา

คำตอบลึกๆในใจของผม คือ ประมาณ 5 ปี ก่อน ผมได้เข้าเวิร์คชอร์ปตามไก่กับพิเชษฐ จากการที่ได้เข้าเรียนรู้จากเวิร์คชอร์ปของพิเชษฐและคอมพานี ผมได้เปิดโลกความเข้าใจเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวด้วยการรับรู้ร่างกายให้กับตัวเอง ซึ่งเป็นการมอบเครื่องมือและพื้นที่สำหรับการแสดงออกและการสร้างสรรค์ผ่านร่างกายให้กับตัวเอง ในการออกจากฐานคิด เพื่อรับรู้ถึงกายและใจให้มากขึ้น นอกจากนี้แล้ว ผมสนใจในหลักและวิธีการทำงานของเค้าในการนำเสนอศิลปะของเค้าที่มีความรับผิดชอบและความจริงจัง มีการศึกษาและสร้างองค์ความรู้จากสิ่งที่ทำ เค้าไม่ได้เพียงทำต่อท่ากันไปโดยไม่คำนึงถึงความหมายหรือการรับรู้ของผู้คน จากงานผมที่ได้ติดตาม ผมได้รับอิสระที่จะไม่รู้ ไม่ต้องรู้สึกบีบคั้นตัวเองให้เข้าใจในสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างถูกต้อง มีอิสระที่จะได้ตระหนักรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในความคิดและความรู้สึกภายในตัวเองโดยอาจมีสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเป็นตัวกระตุ้น สิ่งเหล่านี้ใหม่มากสำหรับผมเมื่อ 5 ปีก่อน และถึงแม้ผมจะได้รู้จักมันมากขึ้นทีละนิด ปัจจุบันนี้มันยังคงให้ความรู้สึกใหม่กับผมอยู่เสมอ นอกจากนี้แล้ว ผมมีรู้สึกผูกผันกับผู้คนในพิเชษฐกลั่นชื่นแด๊นซ์คอมพะนีแบบห่างๆ โรงละครช้าง ซึ่งเป็นที่ฝึกซ้อมและแสดงของคอมพะนี

… และผมมีความคิดด้วยว่าสิ่งที่ได้จากการเข้าเวิร์คชอร์ปหรือการชมงานนั้น มันเป็นเสมือนองค์ประกอบที่จะเชื่อมร้อยเข้ากับสิ่งต่างๆ เพื่อชีวิตที่เต็มเปลี่ยนไปด้วยประสบการณ์และความหมายที่ลึกซึ้งของตัวเอง เช่นเดียวกับประสบการณ์และสิ่งที่ได้เผชิญในคอร์สกายกรุณา

ทุกครั้งที่ได้ออกไปเรียนรู้ทักษะและความเข้าใจใหม่ มันตอบความต้องการของตัวเองในการเยียวยาและการเติบโต สัปดาห์ก่อนผมได้มีโอกาสกลับไปทบทวนและเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการสื่อสารอย่างสันติ (NVC : Non-violent Communication) อีกครั้งในคอร​์สกายกรุณา ณ ที่พักสงฆ์วิริยะธรรม อ.ปากช่อง จัดโดยความร่วมมือกันของผู้คนมากมาย อาทิ พี่ณัฐฬส วังวิญญู พี่หม่อง ธานินทร์ พี่จุ๋ม (สถาบันขวัญแผ่นดิน) พี่หญิง จุฑา พระ และแม่ชี ณ ที่พักฆงฆ์ โดยมีเดวิด (David Weinstock) ช่างทำเครื่องประดับ อาจารย์สอนไอคิโด้ ผู้ฝึกฝนสื่อสารอย่างสันติ ผู้เขียนหนังสือ Becoming What You need ทำหน้าที่เป็นผู้นำกระบวนการการเรียนรู้แลกเปลี่ยนของพวกเรากว่า 20 ชีวิต+ ผมได้รับความรู้ ความเข้าใจและมีเรื่องมากมายที่อยากจะแบ่งปัน ในบทนี้ผมจะขอเล่าถึงสองส่วนก่อนแล้วกัน

1) การใช้ชีวิตด้วยความตระหนักและความเข้าใจ

สิ่งหนึ่งที่สำคัญเพื่อการใช้ชีวิตด้วยความตระหนักและความเข้าใจที่เดวิดได้แบ่งปัน คือ แนวคิดของความรู้สึกหดตัว (feeling contracted) และความเปิด (feeling open) ของร่างกาย ที่เรามักจะหลงลืมและละเลยที่จะใส่ใจ ความรู้สึกหดตัวเกิดขึ้นจากการตอบสนองอัตโนมัติของอวัยวะ ที่ร่างกายได้จดจำมาตั้งแต่เราเป็นเด็ก อาทิ หน้าอกที่เกร็ง ไหล่ที่หนัก ลำคอที่รู้สึกกระอักกระอ่วม หน้าผากที่ตึง มันเกิดขึ้นและทำหน้าที่ปกป้องบางสิ่งที่มีค่ากับเรา ในมุมหนึ่งการปกป้องอาจทำให้รู้สึกปลอดภัย แต่อีกด้านนึง มันคือกำแพงปิดกั้นเราในการอยู่ในปัจจุบันด้วยใจที่เปิดกว้าง พร้อมที่จะรับฟังอย่างเห็นอกเห็นใจต่อทั้งภายในและภายนอกตนเอง

ความรู้สึกหดตัวของร่างกายทำให้เกิดความไม่สอดคล้องกันของร่างกายและความรู้สึก เราอาจจะพูดได้ว่า ไม่โกรธ ไม่กังวล ไม่เสียใจ ในขณะที่ร่างกายของเราอาจไม่ได้อยู่ในสภาวะเดียวกับสิ่งที่พูด เราจึงไม่สามารถยิ้ม (ค้าง) และพูดถึงสิ่งที่ทำให้เราโกรธ โมโห เช่นกันเราไม่สามารถพูดถึงสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกดีพร้อมกับการทำหน้าโกรธได้

เพื่อความตระหนัก การดำรงอยู่ในปัจจุบันด้วยใจที่เปิดกว้าง และการเปลี่ยนแปลงตัวเอง เดวิดได้ชวนให้เราตระหนักในการทำงานของอวัยวะในร่างกายเมื่อมันแสดงอาการ แล้วย้อนกลับไปมองเหตุการณ์ที่ทำให้ร่างกายสร้างกลไกนั้นขึ้น และทำความเข้าใจว่ามันเกิดขึ้นเพื่อทำหน้าที่ปกป้องอะไรให้กับเรา เพื่อที่จะพิจารณาว่ากลไลนี้มันรับใช้สิ่งที่เราปรารถนาในปัจจุบันนี้หรือไม่?

ตัวอย่าง ความรู้สึกกระอักกระอ่วน รู้สึกตันในช่วงลำคอ อาจเกิดจากเหตุการณ์ในวัยเด็กที่เราไม่สามารถพูดในสิ่งที่ต้องการพูด เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ร่างกายยังคงจดจำ อวัยวะทำหน้าที่ปกป้องเมื่อเรารู้สึกไม่ปลอดภัย หากปัจจุบัน เราต้องการที่จะสื่อสารให้ได้มากขึ้น เราอาจจะต้องทำความเข้าใจในสิ่งนี้ เพื่อการเปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกัน เราอาจรู้สึกได้ถึงพลังงานความร้อนและความหนักบริเวณหน้าอก ซึ่งอาจเกิดจากเหตุการณ์ในวัยเด็กที่เราต้องแบกรับความรู้สึกรับผิดชอบไว้ในขณะที่รู้สึกไร้ซึ่งพลังและอำนาจที่จะทำอะไรเพื่อที่จะรับผิดชอบได้ ปัจจุบันร่างกายจึงสร้างกลไกของพลักงานและความหนักในช่วงอก ทุกครั้งเมื่อเรารู้สึกกังวลใจ
หรือไร้ซึ่งพลังและอำนาจที่จะรับผิดชอบ

เดวิดได้แบ่งปันและเชิญชวนให้เราได้ฝึกฝนการโต้คลื่น (S.U.R.F.) โดยเริ่มจาก (S = Shape) การนั่งตัวตรงให้จุดศูนย์กลางของศรีษะ จุดศูนย์กลางของหน้าอก และท้องตั้งตรง > (U = unifying) การสูดลมหายใจเข้าให้ลึก และหายใจออกพร้อมกับการปล่อยเสียงอาาา เพื่อที่จะรีเซ็ทร่างกาย > (R = resource) ความตระหนักถึงคุณค่าที่เราต้องการให้เป็นสิ่งสำคัญในขณะนั้นเพื่อการเชื่อมต่อกับพลังงานนั้น > (F = Field) สร้างสนามพลังของคุณค่านั้นด้วยการยินยอมให้คุณค่านั้นมีอยู่รอบๆตัว

(บทเรียนเพิ่มเติม อ่านบันทึกคอร์สกายกรุณา โดยพี่ณัฐฬส วังวิญญู คลิกที่นี่)

 

2) การสื่อสารอย่างสันติ

ถึงแม้มาแชล โรเซนเบิร์ก (Marshall Rosenberg) อาจารย์ผู้บุกเบิกศาสตร์ด้าน NVC เคยกล่าวไว้ว่า “เมื่อเราเรียนรู้ที่จะพูดจากหัวใจ เรากำลังปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองไปตลอดชีวิต” เดวิดได้เสนอความคิดไว้ด้วยว่า การพูดจากความรู้สึก คือการมีอารมณ์เป็นตัวนำนั้นแตกต่างจากการพูดจากความรู้สึกที่ออกมาจากความคิดและร่างกายที่ล้วนสอดคล้องกัน

สำหรับการเดินทางภายใน (ด้านจิตวิญญาณ) ผมเชื่อในการใช้ชีวิตด้วยเจตนาและความตระหนักในคุณค่าของตนเอง NVC เป็นศาสตร์หนึ่งที่ผมได้เรียนรู้ ซึมซับและใช้เพื่อการทำความเข้าใจตนเอง และการอยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วยความตระหนักในคุณค่าของตนเอง และสำหรับผมแล้ว การเรียนและฝึกฝน NVC ไม่ใช่การสื่อสารเพื่อโลกที่สวยงาม แต่เป็นเครื่องมือสำหรับการสร้างวัฒนธรรมที่ได้จะยินคำถามเพื่อการสร้างความยินยอมพร้อมใจ (consent) เป็นภาวะปกติท่ามกลางความแตกต่างหลากหลาย ในทุกการเคลื่อนไหวของเดวิด เค้าจะถามเสมอว่า “Would you mind if I ask …? Would you mind to continue …?”

ในความสัมพันธ์เชิงอำนาจเหนือ (power over) มันจะมีการลงโทษและการตอบแทน (punishment and reward) เกิดขึ้นได้ปกติ แต่ NVC สร้างพลังร่วม (power with) เพื่อการสร้างพื้นที่ให้ทุกคนได้เป็นส่วนหนึ่ง (inclusiveness) ทุกคนสามารถที่จะสื่อสารกันได้ด้วยความสัตย์จริง และรับฟังกันด้วยความเข้าอกเข้าใจต่อทั้งคุณค่าและความต้องการของทุกฝ่ายรวมถึงตัวเอง

เทคนิคและเครื่องมือของ NVC นั้นมีมากมาย (หากสนใจอาจจะลองหาโอกาสเข้าร่วมคอร์สของสถาบันขวัญแผ่นดิน FB page) ในคอร์สกายกรุณานี้ เราได้เน้นไปที่หลักการสื่อสารอย่างสันติ 4 ข้อ ที่เราควรจะตระหนักถึงและสามารถที่จะเลือกใช้มันได้อย่างมีสติ ได้แก่

  1. การบรรยายสิ่งที่เราได้สัมผัส รับผิดชอบต่อสิ่งที่เราเห็น ได้ยิน รู้สึก หรือประสบ versus การพูดด้วยคำตัดสินในสิ่งที่เราคิดว่าเขาเป็น
  2. การแสดงถึงความรู้สึก versus การแสดงออกด้วยความคิด
  3. การเชื่อมต่อกันความต้องการ versus การยึดติดกับวิธีการ
  4. การร้องขอ versus การเรียกร้อง/บังคับ

หลุยซ์ โรเมน (Louise Romain) ผู้ฝึกสอน NVC อีกท่านจากฝรั่งเศส ได้กล่าวเสริมไว้ด้วยว่า NVC ไม่ได้สอนให้ใช้หลัก NVC อย่างถูกต้องเสมอ แต่ต้องการให้เราเลือกใช้มันและสื่อสารได้ด้วยสติ NVC ไม่ใช่การสยบยอมฟังแล้วแล้วฟังอีก มันหมายถึงความสามารถในการที่จะสื่อสารด้วยว่า “this is not working for me.” เพราะในความสัมพันธ์เราต้องดูแลตัวเองด้วย กล่าวคือ ความต้องการของเขาสำคัญ และความต้องการของเราองก็สำคัญเช่นกัน

Please follow and like us:
0