“เธอ …ทำไมเธอถึงตามงานพิเชษฐล่ะ ฉันอยากรู้?” พี่หญิงได้ถามผมในคอร์สกายกรุณา
คำตอบลึกๆในใจของผม คือ ประมาณ 5 ปี ก่อน ผมได้เข้าเวิร์คชอร์ปตามไก่กับพิเชษฐ จากการที่ได้เข้าเรียนรู้จากเวิร์คชอร์ปของพิเชษฐและคอมพานี ผมได้เปิดโลกความเข้าใจเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวด้วยการรับรู้ร่างกายให้กับตัวเอง ซึ่งเป็นการมอบเครื่องมือและพื้นที่สำหรับการแสดงออกและการสร้างสรรค์ผ่านร่างกายให้กับตัวเอง ในการออกจากฐานคิด เพื่อรับรู้ถึงกายและใจให้มากขึ้น นอกจากนี้แล้ว ผมสนใจในหลักและวิธีการทำงานของเค้าในการนำเสนอศิลปะของเค้าที่มีความรับผิดชอบและความจริงจัง มีการศึกษาและสร้างองค์ความรู้จากสิ่งที่ทำ เค้าไม่ได้เพียงทำต่อท่ากันไปโดยไม่คำนึงถึงความหมายหรือการรับรู้ของผู้คน จากงานผมที่ได้ติดตาม ผมได้รับอิสระที่จะไม่รู้ ไม่ต้องรู้สึกบีบคั้นตัวเองให้เข้าใจในสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างถูกต้อง มีอิสระที่จะได้ตระหนักรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในความคิดและความรู้สึกภายในตัวเองโดยอาจมีสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเป็นตัวกระตุ้น สิ่งเหล่านี้ใหม่มากสำหรับผมเมื่อ 5 ปีก่อน และถึงแม้ผมจะได้รู้จักมันมากขึ้นทีละนิด ปัจจุบันนี้มันยังคงให้ความรู้สึกใหม่กับผมอยู่เสมอ นอกจากนี้แล้ว ผมมีรู้สึกผูกผันกับผู้คนในพิเชษฐกลั่นชื่นแด๊นซ์คอมพะนีแบบห่างๆ โรงละครช้าง ซึ่งเป็นที่ฝึกซ้อมและแสดงของคอมพะนี

… และผมมีความคิดด้วยว่าสิ่งที่ได้จากการเข้าเวิร์คชอร์ปหรือการชมงานนั้น มันเป็นเสมือนองค์ประกอบที่จะเชื่อมร้อยเข้ากับสิ่งต่างๆ เพื่อชีวิตที่เต็มเปลี่ยนไปด้วยประสบการณ์และความหมายที่ลึกซึ้งของตัวเอง เช่นเดียวกับประสบการณ์และสิ่งที่ได้เผชิญในคอร์สกายกรุณา
ทุกครั้งที่ได้ออกไปเรียนรู้ทักษะและความเข้าใจใหม่ มันตอบความต้องการของตัวเองในการเยียวยาและการเติบโต สัปดาห์ก่อนผมได้มีโอกาสกลับไปทบทวนและเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการสื่อสารอย่างสันติ (NVC : Non-violent Communication) อีกครั้งในคอร์สกายกรุณา ณ ที่พักสงฆ์วิริยะธรรม อ.ปากช่อง จัดโดยความร่วมมือกันของผู้คนมากมาย อาทิ พี่ณัฐฬส วังวิญญู พี่หม่อง ธานินทร์ พี่จุ๋ม (สถาบันขวัญแผ่นดิน) พี่หญิง จุฑา พระ และแม่ชี ณ ที่พักฆงฆ์ โดยมีเดวิด (David Weinstock) ช่างทำเครื่องประดับ อาจารย์สอนไอคิโด้ ผู้ฝึกฝนสื่อสารอย่างสันติ ผู้เขียนหนังสือ Becoming What You need ทำหน้าที่เป็นผู้นำกระบวนการการเรียนรู้แลกเปลี่ยนของพวกเรากว่า 20 ชีวิต+ ผมได้รับความรู้ ความเข้าใจและมีเรื่องมากมายที่อยากจะแบ่งปัน ในบทนี้ผมจะขอเล่าถึงสองส่วนก่อนแล้วกัน

1) การใช้ชีวิตด้วยความตระหนักและความเข้าใจ
สิ่งหนึ่งที่สำคัญเพื่อการใช้ชีวิตด้วยความตระหนักและความเข้าใจที่เดวิดได้แบ่งปัน คือ แนวคิดของความรู้สึกหดตัว (feeling contracted) และความเปิด (feeling open) ของร่างกาย ที่เรามักจะหลงลืมและละเลยที่จะใส่ใจ ความรู้สึกหดตัวเกิดขึ้นจากการตอบสนองอัตโนมัติของอวัยวะ ที่ร่างกายได้จดจำมาตั้งแต่เราเป็นเด็ก อาทิ หน้าอกที่เกร็ง ไหล่ที่หนัก ลำคอที่รู้สึกกระอักกระอ่วม หน้าผากที่ตึง มันเกิดขึ้นและทำหน้าที่ปกป้องบางสิ่งที่มีค่ากับเรา ในมุมหนึ่งการปกป้องอาจทำให้รู้สึกปลอดภัย แต่อีกด้านนึง มันคือกำแพงปิดกั้นเราในการอยู่ในปัจจุบันด้วยใจที่เปิดกว้าง พร้อมที่จะรับฟังอย่างเห็นอกเห็นใจต่อทั้งภายในและภายนอกตนเอง
ความรู้สึกหดตัวของร่างกายทำให้เกิดความไม่สอดคล้องกันของร่างกายและความรู้สึก เราอาจจะพูดได้ว่า ไม่โกรธ ไม่กังวล ไม่เสียใจ ในขณะที่ร่างกายของเราอาจไม่ได้อยู่ในสภาวะเดียวกับสิ่งที่พูด เราจึงไม่สามารถยิ้ม (ค้าง) และพูดถึงสิ่งที่ทำให้เราโกรธ โมโห เช่นกันเราไม่สามารถพูดถึงสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกดีพร้อมกับการทำหน้าโกรธได้

เพื่อความตระหนัก การดำรงอยู่ในปัจจุบันด้วยใจที่เปิดกว้าง และการเปลี่ยนแปลงตัวเอง เดวิดได้ชวนให้เราตระหนักในการทำงานของอวัยวะในร่างกายเมื่อมันแสดงอาการ แล้วย้อนกลับไปมองเหตุการณ์ที่ทำให้ร่างกายสร้างกลไกนั้นขึ้น และทำความเข้าใจว่ามันเกิดขึ้นเพื่อทำหน้าที่ปกป้องอะไรให้กับเรา เพื่อที่จะพิจารณาว่ากลไลนี้มันรับใช้สิ่งที่เราปรารถนาในปัจจุบันนี้หรือไม่?
ตัวอย่าง ความรู้สึกกระอักกระอ่วน รู้สึกตันในช่วงลำคอ อาจเกิดจากเหตุการณ์ในวัยเด็กที่เราไม่สามารถพูดในสิ่งที่ต้องการพูด เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ร่างกายยังคงจดจำ อวัยวะทำหน้าที่ปกป้องเมื่อเรารู้สึกไม่ปลอดภัย หากปัจจุบัน เราต้องการที่จะสื่อสารให้ได้มากขึ้น เราอาจจะต้องทำความเข้าใจในสิ่งนี้ เพื่อการเปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกัน เราอาจรู้สึกได้ถึงพลังงานความร้อนและความหนักบริเวณหน้าอก ซึ่งอาจเกิดจากเหตุการณ์ในวัยเด็กที่เราต้องแบกรับความรู้สึกรับผิดชอบไว้ในขณะที่รู้สึกไร้ซึ่งพลังและอำนาจที่จะทำอะไรเพื่อที่จะรับผิดชอบได้ ปัจจุบันร่างกายจึงสร้างกลไกของพลักงานและความหนักในช่วงอก ทุกครั้งเมื่อเรารู้สึกกังวลใจ
หรือไร้ซึ่งพลังและอำนาจที่จะรับผิดชอบ
เดวิดได้แบ่งปันและเชิญชวนให้เราได้ฝึกฝนการโต้คลื่น (S.U.R.F.) โดยเริ่มจาก (S = Shape) การนั่งตัวตรงให้จุดศูนย์กลางของศรีษะ จุดศูนย์กลางของหน้าอก และท้องตั้งตรง > (U = unifying) การสูดลมหายใจเข้าให้ลึก และหายใจออกพร้อมกับการปล่อยเสียงอาาา เพื่อที่จะรีเซ็ทร่างกาย > (R = resource) ความตระหนักถึงคุณค่าที่เราต้องการให้เป็นสิ่งสำคัญในขณะนั้นเพื่อการเชื่อมต่อกับพลังงานนั้น > (F = Field) สร้างสนามพลังของคุณค่านั้นด้วยการยินยอมให้คุณค่านั้นมีอยู่รอบๆตัว
(บทเรียนเพิ่มเติม อ่านบันทึกคอร์สกายกรุณา โดยพี่ณัฐฬส วังวิญญู คลิกที่นี่)
2) การสื่อสารอย่างสันติ
ถึงแม้มาแชล โรเซนเบิร์ก (Marshall Rosenberg) อาจารย์ผู้บุกเบิกศาสตร์ด้าน NVC เคยกล่าวไว้ว่า “เมื่อเราเรียนรู้ที่จะพูดจากหัวใจ เรากำลังปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองไปตลอดชีวิต” เดวิดได้เสนอความคิดไว้ด้วยว่า การพูดจากความรู้สึก คือการมีอารมณ์เป็นตัวนำนั้นแตกต่างจากการพูดจากความรู้สึกที่ออกมาจากความคิดและร่างกายที่ล้วนสอดคล้องกัน
สำหรับการเดินทางภายใน (ด้านจิตวิญญาณ) ผมเชื่อในการใช้ชีวิตด้วยเจตนาและความตระหนักในคุณค่าของตนเอง NVC เป็นศาสตร์หนึ่งที่ผมได้เรียนรู้ ซึมซับและใช้เพื่อการทำความเข้าใจตนเอง และการอยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วยความตระหนักในคุณค่าของตนเอง และสำหรับผมแล้ว การเรียนและฝึกฝน NVC ไม่ใช่การสื่อสารเพื่อโลกที่สวยงาม แต่เป็นเครื่องมือสำหรับการสร้างวัฒนธรรมที่ได้จะยินคำถามเพื่อการสร้างความยินยอมพร้อมใจ (consent) เป็นภาวะปกติท่ามกลางความแตกต่างหลากหลาย ในทุกการเคลื่อนไหวของเดวิด เค้าจะถามเสมอว่า “Would you mind if I ask …? Would you mind to continue …?”
ในความสัมพันธ์เชิงอำนาจเหนือ (power over) มันจะมีการลงโทษและการตอบแทน (punishment and reward) เกิดขึ้นได้ปกติ แต่ NVC สร้างพลังร่วม (power with) เพื่อการสร้างพื้นที่ให้ทุกคนได้เป็นส่วนหนึ่ง (inclusiveness) ทุกคนสามารถที่จะสื่อสารกันได้ด้วยความสัตย์จริง และรับฟังกันด้วยความเข้าอกเข้าใจต่อทั้งคุณค่าและความต้องการของทุกฝ่ายรวมถึงตัวเอง
เทคนิคและเครื่องมือของ NVC นั้นมีมากมาย (หากสนใจอาจจะลองหาโอกาสเข้าร่วมคอร์สของสถาบันขวัญแผ่นดิน FB page) ในคอร์สกายกรุณานี้ เราได้เน้นไปที่หลักการสื่อสารอย่างสันติ 4 ข้อ ที่เราควรจะตระหนักถึงและสามารถที่จะเลือกใช้มันได้อย่างมีสติ ได้แก่
- การบรรยายสิ่งที่เราได้สัมผัส รับผิดชอบต่อสิ่งที่เราเห็น ได้ยิน รู้สึก หรือประสบ versus การพูดด้วยคำตัดสินในสิ่งที่เราคิดว่าเขาเป็น
- การแสดงถึงความรู้สึก versus การแสดงออกด้วยความคิด
- การเชื่อมต่อกันความต้องการ versus การยึดติดกับวิธีการ
- การร้องขอ versus การเรียกร้อง/บังคับ
หลุยซ์ โรเมน (Louise Romain) ผู้ฝึกสอน NVC อีกท่านจากฝรั่งเศส ได้กล่าวเสริมไว้ด้วยว่า NVC ไม่ได้สอนให้ใช้หลัก NVC อย่างถูกต้องเสมอ แต่ต้องการให้เราเลือกใช้มันและสื่อสารได้ด้วยสติ NVC ไม่ใช่การสยบยอมฟังแล้วแล้วฟังอีก มันหมายถึงความสามารถในการที่จะสื่อสารด้วยว่า “this is not working for me.” เพราะในความสัมพันธ์เราต้องดูแลตัวเองด้วย กล่าวคือ ความต้องการของเขาสำคัญ และความต้องการของเราองก็สำคัญเช่นกัน


